ใบหน้าของผู้หญิงที่มีการแสดงออกถึงความเจ็บปวด พร้อมอาการหน้าแดงบริเวณแก้ม แสดงถึงอาการจากโรคผิวหนังหรือภูมิคุ้มกันที่มีปัญหา

SLE หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง เป็นโรคที่เกิดจากภูมิคุ้มกันผิดปกติ ส่งผลกระทบต่อหลายอวัยวะ พร้อมเรียนรู้สาเหตุ อาการ วิธีการรักษา และการดูแลตัวเองเพื่อควบคุมโรคให้อยู่หมัด

โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือที่รู้จักกันในชื่อทางการแพทย์ว่า Systemic Lupus Erythematosus (SLE) เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ส่งผลให้เกิดการอักเสบและทำลายเนื้อเยื่อตัวเองในหลายระบบของร่างกาย โรค SLE นี้เป็นโรคเรื้อรังที่ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด แต่สามารถควบคุมอาการได้ด้วยการรักษาอย่างต่อเนื่องและการปฏิบัติตัวที่เหมาะสม โรคนี้มักพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะในช่วงวัยเจริญพันธุ์


สาเหตุของโรค SLE

แม้ว่าสาเหตุที่แน่ชัดยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่นักวิจัยเชื่อว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่อาจส่งผลให้เกิดโรคนี้

1.พันธุกรรม

บุคคลที่มีญาติสายตรง (เช่น พ่อ แม่ พี่น้อง) เคยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรค SLE มักมีความเสี่ยงสูงขึ้นที่จะเป็นโรคนี้เช่นกัน โดยพบว่ามียีนบางชนิดที่อาจเกี่ยวข้องกับการเกิดโรค

2.ฮอร์โมน

พบว่าผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์มีความเสี่ยงสูงกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ช่วงตั้งครรภ์หรือช่วงมีประจำเดือน

3.สิ่งแวดล้อม

การสัมผัสแสงแดดจ้า หรือสารเคมีบางชนิด อาจกระตุ้นให้เกิดโรค รวมถึงการสูบบุหรี่และมลพิษในอากาศก็อาจเพิ่มความเสี่ยงได้

4.การติดเชื้อ

บางครั้งการติดเชื้อไวรัสอาจกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานผิดปกติ โดยเฉพาะไวรัสในกลุ่ม Epstein-Barr virus


อาการของโรค SLE

อาการมีความหลากหลายและอาจแตกต่างกันในแต่ละบุคคล อาการที่พบบ่อยได้แก่

  • ผื่นรูปผีเสื้อบริเวณแก้มและสันจมูก : เป็นลักษณะเฉพาะของโรค มักเกิดขึ้นหลังจากโดนแดด
  • ปวดข้อและกล้ามเนื้อ : มักเป็นอาการแรกๆ ที่ผู้ป่วยสังเกตเห็น โดยอาจมีอาการบวมร่วมด้วย
  • อ่อนเพลียเรื้อรัง : เป็นอาการที่พบได้บ่อยมากและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต
  • ไข้ต่ำๆ : มักเป็นไข้ไม่สูงมาก แต่เป็นเรื้อรัง
  • ผมร่วง : อาจร่วงเป็นหย่อมๆ หรือร่วงทั่วศีรษะ
  • แพ้แสงแดด : ผิวหนังไวต่อแสงแดดมากขึ้น อาจเกิดผื่นหรืออาการกำเริบหลังสัมผัสแสงแดด
  • อาการทางระบบเลือด : เช่น ซีด เม็ดเลือดขาวต่ำ เกล็ดเลือดต่ำ ทำให้เกิดจ้ำเลือดง่าย
  • ไตอักเสบ : อาจไม่มีอาการชัดเจน แต่ตรวจพบความผิดปกติจากการตรวจปัสสาวะ
  • อาการทางระบบประสาท : เช่น ปวดศีรษะ ชัก หรือมีอาการทางจิตเวช

นอกจากนี้ยังอาจพบอาการอื่นๆ เช่น แผลในปาก อาการแห้งตาแห้งปาก (Sjögren’s syndrome) หรือภาวะ Raynaud’s phenomenon ที่ทำให้ปลายนิ้วเปลี่ยนสีเมื่อสัมผัสความเย็น

ชายหนุ่มที่มีอาการหน้าแดงเป็นวงกลมบริเวณแก้มทั้งสองข้าง สะท้อนถึงลักษณะอาการของโรค SLE (โรคแพ้ภูมิตัวเอง)

การวินิจฉัยโรค SLE

การวินิจฉัยโรคนี้ อาศัยโดยการตรวจร่างกาย ประวัติอาการ และการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ซึ่งรวมถึง

  1. การตรวจเลือดหา ANA (Antinuclear Antibody) : เป็นการตรวจคัดกรองเบื้องต้น ถ้าผลเป็นบวกจะต้องตรวจเพิ่มเติม
  2. การตรวจหาแอนติบอดีชนิดอื่นๆ : เช่น anti-dsDNA, anti-Sm, anti-RNP เพื่อยืนยันการวินิจฉัย
  3. การตรวจการทำงานของไต : ตรวจปัสสาวะและเลือดเพื่อประเมินการทำงานของไต
  4. การตรวจภาพรังสีปอดและหัวใจ : เพื่อดูความผิดปกติของอวัยวะภายใน
  5. การตรวจชิ้นเนื้อ : ในบางกรณีอาจต้องตรวจชิ้นเนื้อจากผิวหนังหรือไตเพื่อยืนยันการวินิจฉัย

แพทย์จะใช้เกณฑ์การวินิจฉัยของ American College of Rheumatology ร่วมกับอาการทางคลินิกและผลตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อวินิจฉัยโรค


การรักษาโรค SLE

แม้ว่าโรคนี้จะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่มีวิธีการรักษาเพื่อควบคุมอาการและป้องกันภาวะแทรกซ้อน

  1. ยากลุ่มต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) : ช่วยบรรเทาอาการปวดและอักเสบ
  2. ยาสเตียรอยด์ : ใช้ในกรณีที่มีอาการรุนแรง ช่วยลดการอักเสบได้อย่างรวดเร็ว
  3. ยากดภูมิคุ้มกัน : เช่น Methotrexate, Azathioprine ช่วยควบคุมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
  4. ยาต้านมาลาเรีย : เช่น Hydroxychloroquine ช่วยควบคุมอาการของโรคและป้องกันการกำเริบ
  5. ยาชีววัตถุ : เช่น Belimumab ใช้ในกรณีที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาอื่น

การรักษาจะปรับเปลี่ยนตามความรุนแรงของโรคและอวัยวะที่ได้รับผลกระทบ ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการติดตามอย่างใกล้ชิดเพื่อปรับการรักษาให้เหมาะสม


การปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วย SLE

ผู้ป่วยควรปฏิบัติตัวดังนี้เพื่อควบคุมอาการและป้องกันการกำเริบของโรค

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดโดยตรง : ใช้ครีมกันแดด SPF 50+ ขึ้นไป สวมเสื้อผ้าที่ปกปิดมิดชิด และใช้ร่มเมื่อต้องอยู่กลางแจ้ง
  • พักผ่อนให้เพียงพอ : การนอนหลับที่เพียงพอช่วยลดความเครียดและป้องกันการกำเริบของโรค
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอแต่ไม่หักโหม : เลือกกิจกรรมที่เหมาะสม เช่น ว่ายน้ำ โยคะ หรือการเดินเร็ว
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ : เน้นอาหารต้านการอักเสบ เช่น ผักผลไม้ ปลา และลดการบริโภคอาหารแปรรูป
  • งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ : เพราะอาจกระตุ้นให้โรคกำเริบและเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน
  • มาพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ : เพื่อติดตามอาการและปรับการรักษาให้เหมาะสม
  • จัดการความเครียด : ฝึกเทคนิคผ่อนคลาย เช่น การทำสมาธิ หรือการหายใจลึกๆ
  • ดูแลสุขภาพจิต : พูดคุยกับครอบครัว เพื่อน หรือกลุ่มสนับสนุนผู้ป่วย SLE เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และกำลังใจ

สรุป

โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือ SLE เป็นโรคเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยอย่างมาก แม้จะยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด แต่ด้วยการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่องและการปฏิบัติตัวที่เหมาะสม ผู้ป่วย SLE สามารถควบคุมอาการของโรคและมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ การตระหนักรู้ถึงอาการเบื้องต้นและการพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาแต่เนิ่นๆ เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นจากโรค SLE ได้

ความก้าวหน้าทางการแพทย์ในปัจจุบันทำให้ผู้ป่วย SLE มีทางเลือกในการรักษามากขึ้น และสามารถมีชีวิตที่ใกล้เคียงปกติได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม การดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอและการติดตามอาการอย่างใกล้ชิดกับแพทย์ยังคงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ป่วย SLE ทุกราย


คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

1.SLE เป็นโรคติดต่อหรือไม่?

ไม่ SLE ไม่ใช่โรคติดต่อ แต่เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเอง

2.ผู้ป่วย SLE สามารถตั้งครรภ์ได้หรือไม่?

ผู้ป่วย SLE สามารถตั้งครรภ์ได้ แต่ต้องวางแผนร่วมกับแพทย์อย่างรอบคอบ เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนสูงกว่าปกติ

3.อาหารมีผลต่อโรค SLE หรือไม่?

อาหารอาจมีผลต่อการอักเสบในร่างกาย ผู้ป่วยควรเน้นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ลดอาหารแปรรูปและอาหารที่มีไขมันสูง

4.ผู้ป่วย SLE สามารถออกกำลังกายได้หรือไม่?

สามารถออกกำลังกายได้และควรทำอย่างสม่ำเสมอ แต่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกกิจกรรมที่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย