SLE โรคแพ้ภูมิตัวเอง โรคร้ายจากภูมิคุ้มกันผิดปกติ
SLE หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง เป็นโรคที่เกิดจากภูมิคุ้มกันผิดปกติ ส่งผลกระทบต่อหลายอวัยวะ พร้อมเรียนรู้สาเหตุ อาการ วิธีการรักษา และการดูแลตัวเอง
การรับประทานอาหารบางชนิดอาจทำให้อาการโรครูมาตอยด์แย่ลง พร้อมเรียนรู้ว่าควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทใดเพื่อป้องกันการอักเสบและเพิ่มคุณภาพชีวิตของคุณให้ดีขึ้น
โรครูมาตอยด์เป็นโรคอักเสบเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อข้อต่อและระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ผู้ป่วยมักมีอาการปวด บวม และอักเสบตามข้อต่างๆ โดยเฉพาะที่มือ เท้า และข้อเข่า ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก โรคนี้พบได้บ่อยในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายถึง 3 เท่า และมักเริ่มแสดงอาการในช่วงอายุ 30-50 ปี
สาเหตุของโรครูมาตอยด์ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าเกิดจากปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน ทั้งพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม และการทำงานผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน โดยการรับประทานอาหารที่เหมาะสมก็เป็นส่วนสำคัญในการจัดการกับโรครูมาตอยด์ เนื่องจากอาหารบางชนิดสามารถกระตุ้นการอักเสบและทำให้อาการของโรคแย่ลงได้ ในขณะที่อาหารบางประเภทช่วยลดการอักเสบและบรรเทาอาการได้
การรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง เช่น เนื้อสัตว์ติดมัน ผลิตภัณฑ์นมที่ไม่ได้ตัดปริมาณไขมันออก และอาหารทอด ที่สามารถเพิ่มการอักเสบในร่างกายได้ โดยไขมันอิ่มตัวจะกระตุ้นการผลิตสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบในร่างกาย เช่น cytokines และ C-reactive protein (CRP) ฉะนั้น ผู้ป่วยโรครูมาตอยด์ควรเลือกเนื้อสัตว์ไขมันต่ำและผลิตภัณฑ์นมพร่องมันแทน ตัวอย่างเช่น เลือกอกไก่แทนสะโพกไก่ หรือนมพร่องมันแทนนมที่ไม่ได้ตัดปริมาณไขมันออก
การบริโภคน้ำตาลมากเกินไปอาจกระตุ้นการอักเสบในร่างกาย โดยน้ำตาลทำให้เกิดสารพิษที่เรียกว่า Advanced Glycation End Products (AGEs) ซึ่งเพิ่มการอักเสบ ฉะนั้น หากเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงขนมหวาน น้ำอัดลม และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง แทนที่ด้วยผลไม้สดหรือเครื่องดื่มที่ไม่มีน้ำตาล เช่น น้ำเปล่า น้ำสมุนไพร หรือชาสมุนไพรไม่มีน้ำตาล
อาหารแปรรูปและฟาสต์ฟู้ดมักมีสารกันบูดและสารเติมแต่งที่อาจทำให้การอักเสบรุนแรงขึ้น นอกจากนี้ยังมักมีไขมันทรานส์ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ควรเลือกรับประทานอาหารที่ปรุงสดใหม่จากวัตถุดิบธรรมชาติแทน เช่น ทำอาหารเองที่บ้านโดยใช้ผักสด เนื้อสัตว์ไขมันต่ำ และธัญพืชไม่ขัดสี
กลูเตนในขนมปังและธัญพืชบางชนิดอาจกระตุ้นการอักเสบในผู้ป่วยโรครูมาตอยด์บางราย แม้ว่าไม่ใช่ผู้ป่วยทุกคนจะแพ้กลูเตน แต่บางคนอาจพบว่าการลดหรืองดกลูเตนช่วยบรรเทาอาการได้ ลองสังเกตอาการหลังรับประทานอาหารที่มีกลูเตน และปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการทดสอบการแพ้กลูเตน หากจำเป็นต้องงดกลูเตน สามารถเลือกทานธัญพืชที่ไม่มีกลูเตนแทน เช่น ข้าว ข้าวโอ๊ต หรือควินัว
แอลกอฮอล์สามารถเพิ่มการอักเสบและรบกวนการทำงานของยารักษาโรครูมาตอยด์ได้ นอกจากนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยในผู้ป่วยโรครูมาตอยด์ ควรหลีกเลี่ยงหรือจำกัดการดื่มแอลกอฮอล์ให้น้อยที่สุด หากดื่ม ควรจำกัดไม่เกิน 1 แก้วต่อวันสำหรับผู้หญิง และ 2 แก้วต่อวันสำหรับผู้ชาย
เนื้อแดงมีกรดอะราคิโดนิกสูง ซึ่งอาจกระตุ้นการอักเสบ นอกจากนี้การย่อยโปรตีนจากเนื้อแดงยังผลิตสารพิษที่เรียกว่า trimethylamine N-oxide (TMAO) ซึ่งเพิ่มการอักเสบในร่างกาย ควรเลือกโปรตีนจากปลา ไก่ หรือถั่วแทน โดยเฉพาะปลาที่มีไขมันสูง เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ซึ่งมีกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่ช่วยลดการอักเสบ
คาเฟอีนอาจส่งผลต่อการดูดซึมแคลเซียมและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนของโรครูมาตอยด์ ควรจำกัดการดื่มกาแฟและชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณรับประทานยาเมโทเทรกเซต (methotrexate) ซึ่งเป็นยาที่ใช้บ่อยในการรักษาโรครูมาตอยด์ ควรเลือกดื่มชาสมุนไพรหรือน้ำผลไม้ที่ไม่มีน้ำตาลเพิ่มแทน
โซเดียมสูงอาจเพิ่มความดันโลหิตและทำให้อาการบวมแย่ลง นอกจากนี้ยังอาจเพิ่มการสูญเสียแคลเซียมทางปัสสาวะ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน ควรลดการใช้เกลือและหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปที่มีโซเดียมสูง เช่น อาหารกระป๋อง อาหารแช่แข็งสำเร็จรูป หรือเนื้อแปรรูป แทนที่ด้วยการปรุงอาหารเองโดยใช้สมุนไพรและเครื่องเทศเพื่อเพิ่มรสชาติ
บางคนอาจมีอาการแย่ลงเมื่อรับประทานผลิตภัณฑ์จากนม อาจเป็นเพราะแพ้โปรตีนในนมวัว หรือเพราะน้ำตาลแลคโตสในนม ลองสังเกตอาการและปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการทดสอบการแพ้นมวัว หากพบว่าแพ้ สามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทดแทนนม เช่น นมถั่วเหลือง นมอัลมอนด์ หรือนมข้าว ซึ่งเสริมแคลเซียมแล้ว
น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด และน้ำมันดอกทานตะวันมีกรดไขมันโอเมก้า-6 สูง ซึ่งอาจเพิ่มการอักเสบเมื่อบริโภคมากเกินไป ควรเลือกใช้น้ำมันมะกอกหรือน้ำมันมะพร้าวแทน น้ำมันมะกอกโดยเฉพาะอย่างยิ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการอักเสบ ส่วนน้ำมันมะพร้าวมีกรดไขมันขนาดกลางที่ร่างกายสามารถใช้เป็นพลังงานได้ง่าย
ปลาที่มีไขมันสูง เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า และปลาซาร์ดีน อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า-3 ซึ่งมีคุณสมบัติในการลดการอักเสบ กรดไขมันโอเมก้า-3 ช่วยลดการผลิตสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบในร่างกาย เช่น cytokines และ eicosanoids ควรรับประทานปลาเหล่านี้อย่างน้อย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ หากไม่สามารถรับประทานปลาได้บ่อย อาจพิจารณาเสริมน้ำมันปลาภายใต้คำแนะนำของแพทย์
ผักใบเขียวและผลไม้มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย เช่น วิตามินซี วิตามินอี และเบต้าแคโรทีน นอกจากนี้ยังมีสารพฤกษเคมีที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ควรรับประทานผักและผลไม้หลากสีให้ได้อย่างน้อย 5 ส่วนต่อวัน โดยเน้นผักใบเขียวเข้ม เช่น คะน้า ผักโขม บร็อคโคลี่ และผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เช่น บลูเบอร์รี่ สตรอเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่
การเลือกรับประทานธัญพืชไม่ขัดสี ถั่ว และเมล็ดพืชต่างๆ เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ถั่วเลนทิล เมล็ดเจีย และเมล็ดแฟลกซ์ สามารถช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้นและอาจช่วยลดการอักเสบได้อีกด้วย ฉะนั้น ไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้ในอาหารเหล่านี้ยังช่วยเพิ่มแบคทีเรียที่ดีในลำไส้ และลดระดับ C-reactive protein (CRP) ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้การอักเสบในร่างกาย
เครื่องเทศและสมุนไพรหลายชนิดมีสารต้านการอักเสบตามธรรมชาติ เช่น
ลองเพิ่มเครื่องเทศเหล่านี้ในอาหารประจำวัน หรือดื่มเป็นชาสมุนไพร
ชาเขียวอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่า catechins โดยเฉพาะ epigallocatechin-3-gallate (EGCG) ซึ่งมีคุณสมบัติต้านการอักเสบและอาจช่วยป้องกันการทำลายกระดูกอ่อนในผู้ป่วยโรครูมาตอยด์ การดื่มชาเขียวเป็นประจำ 1-2 ถ้วยต่อวัน จะช่วยเสริมสร้างคุณประโยชน์เหล่านี้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
การหลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นการอักเสบและเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์เป็นส่วนสำคัญในการจัดการกับโรครูมาตอยด์ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินที่ถูกต้องจะช่วยให้คุณสามารถควบคุมอาการและมีสุขภาพที่ดีขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม การรักษาโรครูมาตอยด์ต้องอาศัยการดูแลแบบองค์รวม ทั้งการรับประทานยาตามแพทย์สั่ง การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม และการจัดการความเครียดควบคู่ไปกับการปรับเปลี่ยนอาหารการกิน
ที่สำคัญ ควรจำไว้ว่าแต่ละคนอาจตอบสนองต่ออาหารแตกต่างกัน สิ่งที่ดีที่สุดคือการสังเกตร่างกายของตัวเอง จดบันทึกอาหารที่รับประทานและอาการที่เกิดขึ้น เพื่อค้นหาว่าอาหารชนิดใดที่กระตุ้นอาการของคุณ และปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการเพื่อวางแผนการรับประทานอาหารที่เหมาะสมกับคุณมากที่สุด
ฉะนั้น การดูแลตัวเองอย่างดีและการเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณสามารถควบคุมอาการของโรครูมาตอยด์และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ในระยะยาว