การดูแลรักษาร่างกายของตัวเอง เมื่อป่วยเป็นโรคเบาหวาน
โรคเบาหวาน ถือเป็นอีกหนึ่งโรคที่ไม่มีใครอยากจะให้เกิดกันนะครับ เพราะมันเป็นโรคที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่จริงๆ แล้วภัยของโรคนี้ก็ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่น่ากลัว
โรคเบาหวานเป็นปัญหาสุขภาพที่กำลังเพิ่มขึ้นในประเทศไทยและทั่วโลก ซึ่งการรักษาให้ได้ผลและปลอดภัยสูงสุดนั้นไม่ใช่แค่การใช้ยา แต่ต้องอาศัยการดูแลตัวเองอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการควบคุมอาหาร ลดน้ำตาล และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ป่วยเบาหวานจำนวนมาก โดยเฉพาะในกลุ่มชาวอเมริกันที่มีอัตราการป่วยสูงที่สุดในโลก การรักษาโรคเบาหวานในทุกวันนี้มีหลากหลายวิธี แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักเลือกการรักษาแบบแผนปัจจุบันที่มีความปลอดภัยและอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เฉพาะทาง ขณะเดียวกัน การนำสมุนไพรไทยเข้ามาช่วยเสริมการรักษาก็เป็นแนวทางที่ดี แต่อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จในการรักษายังขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของผู้ป่วยเอง ซึ่งมักไม่ใส่ใจสุขภาพ จึงทำให้อาการลุกลามและรักษาไม่ทัน
หนึ่งในหัวใจสำคัญของการรักษาโรคเบาหวานคือการควบคุมปริมาณน้ำตาลในแต่ละวัน ซึ่งแม้จะทำได้ยากแต่ก็จำเป็นอย่างยิ่ง เพราะหากไม่ควบคุม น้ำตาลในเลือดจะเพิ่มสูงและเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน อีกทั้งยังต้องลดปริมาณแป้ง เพราะแป้งเมื่อถูกเผาผลาญไม่หมดจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลและส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น การควบคุมทั้งน้ำตาลและแป้งจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการดูแลเบาหวานให้ปลอดภัยและอาจช่วยให้หายขาดได้ในบางราย
โดยการหลีกเลี่ยงการเติมน้ำตาลทุกชนิดลงในอาหารไปนะครับ เพราะอาหารบางชนิดนั้นก็จะมีส่วนผสมของน้ำตาลอยู่แล้ว ซึ่งก่อนที่เราจะกินนั้น เราก็จำเป็นอย่างมากเลยที่จะต้องอ่านฉลากก่อนทุกครั้ง เพราะบางที อาหารแต่ละชนิดก็จะมีปริมาณน้ำตาลที่เยอะเป็นอย่างมากอีกด้วย ยิ่งเราเติมเข้าไปอีกก็จะทำให้เราได้รับปริมาณน้ำตาลมากจนเกินไปนั่นเอง แถมยังจะทำให้กระบวนการต่างๆ ในร่างกายของเรานั้นทำงานได้ยากมากยิ่งขึ้นอีกด้วยนั่นเอง
ให้ได้ เพราะแป้งที่เรากินอยู่ทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นขนมปัง ข้าวขาว หรืออะไรก็ตามแต่ ซึ่งเราก็จะต้องกินในปริมาณให้เหมาะสมก็พอ เพราะแป้งเหล่านี้นั้นอย่างที่บอกถ้าเรานำไปใช้ไม่หมดมันก็จะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลไปเลยทันทีนั่นเอง ก็เลยทำให้ร่างกายของเรานั้นได้รับน้ำตาลที่มากจนเกินไปอีกนั่นเอง
เน้นอาหารที่มีเส้นใยมากๆ โดยเราก็จะต้องกินพวกผักผลไม้ให้มากๆ นะครับ โดยเฉพาะผลไม้นั้นก็ไม่ควรเลือกกินชนิดที่หวานจนเกินไปนะครับเพราะบางทีก็อาจจะทำให้เราได้รับน้ำตาลจากผลไม้มากจนเกินไปก็ได้เช่นกัน ควรที่จะเลือกกินผักให้เยอะๆ เพื่อให้ร่างกายของเรานั้นสามารถที่จะขับถ่ายได้อย่างปกติและมีสุขภาพที่แข็งแรงนั่นเอง
ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมากเลยนะครับ เพราะว่าการออกกำลังกายที่ถูกต้องนั้นก็จะทำให้ร่างกายของเราได้รับประโยชน์เป็อย่างมากเลย เช่นถ้าหากเราไม่สามารถที่จะหาเวลาออกไปเล่นกีฬากลางแจ้งได้นั้นเราก็อาจจะเข้าฟิตเนสก็ได้เช่นกันนะครับ เพื่อสุขภาพที่ดีห่างไกลโรคนั้นก็ควรที่จะออกกำลังกายอย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์นะครับ
ดังนั้นถ้าหากเราสามารถที่จะทำได้ทั้งหมด ตามที่บอกมานั้นเราก็จะห่างไกลจากโรคเบาหวานอย่างแน่นอน แต่ถ้าใครเป็นแล้ว และนำวิธีดังกล่าวไปปฎิบัตินั้นก็จะทำให้อาการของโรคเบาหวานของเรานั้นอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือดีไม่ดีก็อาจจะหายขาดได้เช่นกันนั่นเอง
หัวข้อ | รายละเอียด |
---|---|
แนวทางการรักษาโดยรวม | ใช้การรักษาแบบผสมผสานระหว่างยาแผนปัจจุบันและสมุนไพร โดยต้องควบคู่กับการดูแลตัวเองอย่างจริงจัง |
ลักษณะของโรคเบาหวาน | เป็นโรคเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมอาการให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้ด้วยการดูแลตนเอง |
สูตรสมุนไพร 1 – ลูกหว้า | ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ยับยั้งการทำลายอินซูลิน กระตุ้นการหลั่งอินซูลิน และเพิ่มไกลโคเจนในตับ |
วิธีใช้ลูกหว้า | ต้มน้ำเมล็ดลูกหว้า 100 กรัม กับน้ำ 1 ลิตร เคี่ยว 15 นาที ดื่มวันละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 1 เดือน หรือบดเมล็ดกินก็ได้ |
สูตรสมุนไพร 2 – ใบชะพลู | ลดน้ำตาลในเลือด มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง อุดมด้วยวิตามิน A, C, แคลเซียม ใช้ประกอบอาหารหรือดื่มแบบน้ำต้มก็ได้ |
วิธีใช้ใบชะพลู | ต้มน้ำใบชะพลูทั้งต้น-ราก ดื่มก่อนอาหาร 3 มื้อทุกวัน ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด |
ข้อควรระวัง | สมุนไพรใช้เสริม ไม่ใช่ทดแทนยา ต้องดูแลตนเองควบคู่ เช่น ควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง |
บทสรุป | ไม่มีสูตรไหนดีที่สุด ถ้าไม่ดูแลตัวเอง การรักษาเบาหวานที่ได้ผลที่สุดคือการควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และมีวินัยในสุขภาพ |
แม้โรคเบาหวานจะเป็นโรคเรื้อรัง แต่หากเราดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี ทั้งลดน้ำตาลและแป้ง ควบคุมอาหาร ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ ก็สามารถควบคุมอาการให้อยู่ในระดับปลอดภัย และอาจมีโอกาสหายขาดได้ในบางราย การรักษาที่ได้ผลที่สุด จึงขึ้นอยู่กับวินัย ความตั้งใจ และการปรับพฤติกรรมของตัวผู้ป่วยเองเป็นสำคัญ