คุณยังใช้กล่องโฟมอยู่หรือเปล่า? ถ้ารู้สิ่งนี้ คุณอาจจะไม่กล้าใช้อีกต่อไป!

กล่องโฟมมีสารสไตรีนที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เช่น เสี่ยงมะเร็ง และระบบประสาท เรียนรู้วิธีหลีกเลี่ยงสารเคมีนี้เพื่อการกินอาหารที่ปลอดภัยขึ้น

กล่องโฟมเป็นบรรจุภัณฑ์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหาร อย่างไรก็ตาม คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่า กล่องโฟมมีสารสไตรีน ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณ? งานวิจัยหลายฉบับชี้ให้เห็นว่า สารสไตรีนสามารถปนเปื้อนในอาหาร เมื่อสัมผัสกับความร้อนและอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง ระบบประสาท และฮอร์โมน ในบทความนี้ เราจะมาดูกันว่า สารสไตรีนในกล่องโฟมอันตรายแค่ไหน? และคุณควรหลีกเลี่ยงอย่างไรเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น

กล่องโฟมทำจากอะไร?

กล่องโฟมที่นิยมใช้กันทั่วไปผลิตจาก โพลิสไตรีน (Polystyrene , PS) ซึ่งเป็นพลาสติกชนิดหนึ่งที่มีคุณสมบัติเป็นฉนวนกันความร้อนได้ดี น้ำหนักเบา และราคาถูก ทำให้ถูกนำมาใช้แพร่หลายในอุตสาหกรรมอาหาร โดยเฉพาะกล่องโฟมสำหรับบรรจุอาหารร้อนและเย็น

การใช้งานทั่วไปของกล่องโฟม

  • บรรจุอาหารเดลิเวอรี (Delivery)
  • ใช้ในงานจัดเลี้ยงและงานเทศกาล
  • แพ็กอาหารในร้านค้าและตลาดสด
  • ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารฟาสต์ฟู้ด

ทำไมกล่องโฟมถึงได้รับความนิยม?

  • ราคาถูกและหาซื้อง่าย
  • น้ำหนักเบา พกพาสะดวก
  • สามารถกันน้ำและน้ำมันได้ดี
  • คงรูปได้ดีเมื่อบรรจุอาหารร้อนหรือเย็น

แม้ว่ากล่องโฟมจะสะดวก แต่ความเสี่ยงจากสารเคมีที่ปนเปื้อนในอาหารอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้ ซึ่งนำไปสู่คำถามสำคัญว่า สารสไตรีนที่พบในกล่องโฟมอันตรายแค่ไหน?

อ่านเพิ่มเติม : สารเคมีในบรรจุภัณฑ์อาหาร – อะไรบ้างที่ควรระวัง (อธิบายสารเคมีอื่นๆ ที่อาจพบในบรรจุภัณฑ์อาหาร)

กล่องโฟมติดป้ายสัญลักษณ์สารไวไฟกำลังลุกไหม้ ปล่อยควันดำลอยขึ้น แสดงถึงอันตรายจากกล่องโฟมที่อาจเป็นเชื้อเพลิงและเสี่ยงต่อสารพิษ

สารสไตรีนในกล่องโฟม อันตรายต่อสุขภาพจริงหรือไม่?

สารสไตรีน (Styrene) คืออะไร?

สารประกอบหลักในโพลิสไตรีน

สารสไตรีน (Styrene , C8H8) เป็นสารประกอบอินทรีย์ในกลุ่มไฮโดรคาร์บอนอะโรมาติก ถูกใช้เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตพลาสติกประเภท โพลิสไตรีน (Polystyrene , PS) ซึ่งเป็นวัสดุสำคัญของ กล่องโฟม ขวดพลาสติก และฉนวนกันความร้อน

แหล่งที่มาของสารสไตรีน

สารสไตรีนสามารถพบได้ทั้งจากแหล่งธรรมชาติ และแหล่งที่มนุษย์สร้างขึ้น

  • แหล่งธรรมชาติ : พบในปิโตรเลียม ยางไม้ และผลไม้บางชนิด
  • แหล่งที่มนุษย์ผลิต : ถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมพลาสติก ยางสังเคราะห์ และสารเคลือบกันน้ำ

สารสไตรีนที่อยู่ในพลาสติกอาจ ซึมเข้าสู่อาหารและเครื่องดื่ม โดยเฉพาะเมื่อสัมผัสกับ อุณหภูมิสูง , ของเหลวที่มีความเป็นกรดหรือไขมันสูง เด็กและสตรีมีครรภ์ ซึ่งอาจได้รับผลกระทบมากกว่าคนทั่วไป

แนะนำอ่าน : ภาชนะบรรจุอาหารแบบไหนปลอดภัยสำหรับเด็กและสตรีมีครรภ์? (อธิบายทางเลือกที่ปลอดภัยสำหรับกลุ่มเสี่ยง)

อันตรายของสารสไตรีนต่อร่างกาย

1. ผลกระทบต่อระบบประสาทและสมอง

งานวิจัยจาก หน่วยงานป้องกันสิ่งแวดล้อมสหรัฐฯ (EPA) ระบุว่า การได้รับสารสไตรีนในปริมาณสูงเป็นเวลานาน อาจส่งผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง โดยมีอาการดังต่อไปนี้

  • ปวดหัว เวียนศีรษะ และมึนงง
  • มีปัญหาด้านความจำและสมาธิ
  • อาการชาและเสียวซ่าในมือและเท้า

2. ความเสี่ยงของสารก่อมะเร็ง

องค์กรอนามัยโลก (WHO) และ International Agency for Research on Cancer (IARC) ได้จัดให้ สารสไตรีนเป็นสารก่อมะเร็งกลุ่ม 2B (Group 2B Carcinogen) ซึ่งหมายความว่า “อาจเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์” โดยมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนความสัมพันธ์ระหว่างการได้รับสารนี้กับความเสี่ยงของโรคมะเร็งบางชนิด เช่น

  • มะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia)
  • มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Lymphoma)
  • มะเร็งปอด (ในผู้ที่ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมที่สัมผัสสารนี้เป็นเวลานาน)

3. ผลกระทบต่อระบบฮอร์โมน

สารสไตรีนจัดเป็น “สารรบกวนฮอร์โมน (Endocrine Disruptor)” ซึ่งหมายความว่ามันสามารถ เลียนแบบหรือรบกวนการทำงานของฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อ

  • ระบบสืบพันธุ์ และความสมดุลของฮอร์โมน
  • ภาวะมีบุตรยากในเพศชายและหญิง
  • ความผิดปกติของการพัฒนาระบบสืบพันธุ์ในเด็ก

4. อาการเรื้อรังจากการได้รับสารสไตรีนสะสม

หากได้รับสารนี้ในปริมาณต่ำแต่ต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพเรื้อรัง เช่น

  • โรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ เช่น หอบหืด และอาการระคายเคือง
  • ปัญหาด้านตับและไต จากการสะสมของสารพิษ
  • อาการล้าเรื้อรัง (Chronic Fatigue Syndrome) และภาวะภูมิคุ้มกันลดลง

อุณหภูมิและปัจจัยที่ทำให้สารสไตรีนละลายเข้าสู่อาหาร

อุณหภูมิที่เป็นอันตราย

สารสไตรีนสามารถละลายเข้าสู่อาหารได้เมื่อสัมผัสกับอุณหภูมิสูง ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญที่ต้องระวัง โดยเฉพาะ

  • อาหารที่ร้อนเกิน 70°C (เช่น ซุป น้ำแกง ข้าวร้อน)
  • อาหารที่มี ไขมันสูง (เช่น อาหารทอด อาหารที่มีน้ำมันเยอะ)
  • เครื่องดื่มร้อน (กาแฟร้อน , ชา)

อาหารประเภทใดที่ดูดซับสารสไตรีนได้มากที่สุด?

อาหารที่มีลักษณะดังต่อไปนี้มีแนวโน้ม ดูดซับสารสไตรีนจากกล่องโฟม มากขึ้น

  • อาหารที่มีไขมันสูง – เช่น ไก่ทอด , หมูทอด , ข้าวมันไก่
  • อาหารที่เป็นกรดสูง – เช่น ซอสมะเขือเทศ , อาหารหมักดอง
  • เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ – เช่น เบียร์และไวน์ (อาจทำให้สารสไตรีนละลายได้มากขึ้น)

หลักฐานทางวิทยาศาสตร์

งานวิจัยจาก Food and Chemical Toxicology พบว่า การใช้กล่องโฟมบรรจุอาหารร้อนเป็นเวลา 30 นาที ทำให้ปริมาณสารสไตรีนที่ปนเปื้อนในอาหารสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในอาหารประเภทน้ำซุปและของทอด

วิธีลดความเสี่ยงจากสารสไตรีนในกล่องโฟม

1. หลีกเลี่ยงการใช้กล่องโฟมกับอาหารร้อน

  • ใช้ ภาชนะกระดาษเคลือบปลอดภัย หรือ พลาสติกชีวภาพ (Biodegradable Plastic)
  • หลีกเลี่ยงการใส่อาหารที่ร้อนจัดลงในกล่องโฟมโดยตรง

2. ห้ามอุ่นอาหารในไมโครเวฟโดยใช้กล่องโฟม

หากจำเป็นต้องอุ่นอาหาร ควรใช้ภาชนะที่ปลอดภัยต่อไมโครเวฟ เช่น

  • ภาชนะกระจก (Glass Container)
  • กล่องพลาสติกที่ได้รับมาตรฐาน BPA-Free
  • จานเซรามิก

3. ตรวจสอบมาตรฐานของบรรจุภัณฑ์

  • ควรเลือกบรรจุภัณฑ์ที่มีเครื่องหมาย “ปลอดภัยสำหรับอาหาร” (Food Safe)
  • หลีกเลี่ยงการใช้กล่องโฟมที่ไม่มีมาตรฐาน อย. หรือ มีลักษณะเปลี่ยนสีหรือมีกลิ่นผิดปกติ

4. ลดการใช้กล่องโฟมในชีวิตประจำวัน

  • นำกล่องข้าวส่วนตัวไปใส่อาหาร
  • สนับสนุนร้านอาหารที่ใช้ บรรจุภัณฑ์ปลอดภัย
  • ให้ความรู้แก่คนรอบตัวเกี่ยวกับ อันตรายของสารสไตรีน
กองขยะโฟมสีดำถูกทิ้งเกลื่อนชายหาดและทะเล สะท้อนปัญหาสิ่งแวดล้อมและมลพิษจากโฟมที่ไม่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ

กล่องโฟมทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างไร?

กล่องโฟมเป็นวัสดุที่ได้รับความนิยมอย่างมากในอุตสาหกรรมอาหาร เนื่องจากต้นทุนต่ำและคุณสมบัติเป็นฉนวนกันความร้อนที่ดี อย่างไรก็ตาม ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากกล่องโฟมนั้นร้ายแรงและยาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไม่มีการจัดการขยะที่เหมาะสม

1. โฟมย่อยสลายยากและสะสมในสิ่งแวดล้อม

กล่องโฟมผลิตจาก โพลิสไตรีน (Polystyrene , PS) ซึ่งเป็นพลาสติกที่ใช้เวลาย่อยสลายนานถึง 500 – 1,000 ปี ในสภาวะธรรมชาติ แตกต่างจากวัสดุธรรมชาติ เช่น กระดาษ หรือไบโอพลาสติก ที่สามารถย่อยสลายได้ในไม่กี่เดือน

การสะสมของขยะโฟมในพื้นที่เปิดโล่ง

  • กล่องโฟมที่ทิ้งในที่โล่งไม่สามารถย่อยสลายเองตามธรรมชาติได้ง่าย
  • ขยะโฟมมักถูกพัดพาเข้าสู่แหล่งน้ำและมหาสมุทร
  • สัตว์ป่าและสัตว์น้ำอาจกินเศษโฟมเข้าไปโดยเข้าใจผิดว่าเป็นอาหาร

อันตรายจากการเผาโฟมและสารพิษที่ปล่อยออกมา

  • การเผาโฟมในที่โล่งทำให้เกิด ไดออกซิน (Dioxin) และฟูแรน (Furan) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งที่อันตรายต่อมนุษย์
  • ควันที่เกิดจากการเผาโฟมส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ และก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน

2. มลพิษทางดินและแหล่งน้ำจากขยะโฟม

ขยะโฟมที่ถูกทิ้งอย่างไม่เหมาะสมสามารถ ซึมซับสารเคมีและโลหะหนัก และปล่อยสารพิษลงสู่ดินและแหล่งน้ำได้

โฟมทำให้ดินเสื่อมโทรมและลดความอุดมสมบูรณ์ของดิน

  • เศษโฟมในดิน ป้องกันการซึมผ่านของน้ำและอากาศ ทำให้ดินเสื่อมคุณภาพ
  • อาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตของพืชและการเกษตรในระยะยาว

มลพิษในแม่น้ำและทะเลจากขยะโฟม

  • โฟมเป็นขยะพลาสติกที่พบได้มากใน แหล่งน้ำและมหาสมุทร
  • สารพิษที่สะสมในโฟมสามารถ ปนเปื้อนเข้าสู่ห่วงโซ่อาหาร เมื่อสัตว์น้ำกินเข้าไป
  • งานวิจัยพบว่า มากกว่า 80% ของนกทะเลมีเศษพลาสติกในกระเพาะอาหาร

3. ไมโครพลาสติกจากโฟม ภัยเงียบที่มองไม่เห็น

เมื่อกล่องโฟมแตกตัวเป็นชิ้นเล็ก ๆ จากแสงแดดและแรงกระแทก มันจะกลายเป็นไมโครพลาสติก (Microplastics) ที่มีขนาดเล็กกว่า 5 มม.

ผลกระทบของไมโครพลาสติกต่อสิ่งแวดล้อม

  • ไมโครพลาสติกจากโฟม ปนเปื้อนในแหล่งน้ำและมหาสมุทร
  • สัตว์น้ำอาจกินไมโครพลาสติกเข้าไป ทำให้เกิดการสะสมของสารพิษในร่างกาย
  • งานวิจัยล่าสุดพบว่า ไมโครพลาสติกสามารถเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ผ่านทางอาหารและน้ำดื่ม

ผลกระทบของไมโครพลาสติกต่อสุขภาพมนุษย์

  • นักวิทยาศาสตร์พบว่า สารเคมีที่ปนเปื้อนในไมโครพลาสติกสามารถรบกวนระบบฮอร์โมนของมนุษย์
  • การสะสมของพลาสติกขนาดเล็กในร่างกายอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อ โรคมะเร็ง และโรคระบบทางเดินอาหาร
  • แยกขยะและทิ้งขยะโฟมอย่างถูกวิธี

กฎหมายและมาตรการควบคุมการใช้กล่องโฟมในไทยและต่างประเทศ

ประเทศไหนแบนกล่องโฟมแล้ว?

หลายประเทศออกมาตรการ ห้ามใช้กล่องโฟม เช่น

  • สหภาพยุโรป (EU) – แบนผลิตภัณฑ์พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว รวมถึงกล่องโฟม
  • อินเดีย – ห้ามใช้กล่องโฟมในหลายเมืองใหญ่
  • สหรัฐฯ – หลายรัฐ เช่น นิวยอร์ก และแคลิฟอร์เนีย ห้ามใช้กล่องโฟม

กฎหมายเกี่ยวกับกล่องโฟมในไทย

ประเทศไทยยังไม่มีการ ห้ามใช้กล่องโฟม 100% แต่มีมาตรการควบคุม เช่น

  • แคมเปญลดใช้โฟมในตลาดสด
  • ห้ามใช้กล่องโฟมในพื้นที่ราชการ
  • ส่งเสริมให้ใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

สถานการณ์การจัดการขยะโฟมในไทย

ปัจจุบัน ประเทศไทยผลิตขยะพลาสติกและโฟมกว่า 2 ล้านตันต่อปี และมีเพียง 25% เท่านั้นที่ถูกนำไปรีไซเคิล

แนวโน้มการห้ามใช้กล่องโฟมในไทย

  • หลายจังหวัดเริ่ม แบนการใช้กล่องโฟมในพื้นที่สาธารณะ เช่น ตลาดสด และโรงเรียน
  • ห้างสรรพสินค้าบางแห่ง เลิกใช้บรรจุภัณฑ์โฟมและเปลี่ยนมาใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

โครงการลดการใช้โฟมของภาครัฐและเอกชน

  • กรมควบคุมมลพิษ (PCD) สนับสนุนให้ร้านอาหารใช้บรรจุภัณฑ์ที่ปลอดภัยแทนโฟม
  • มีการรณรงค์ “Say No to Foam” ในสถานศึกษาและองค์กรต่าง ๆ

ทางออก เราจะลดขยะโฟมได้อย่างไร?

การลดผลกระทบของกล่องโฟมจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งรัฐบาล ภาคเอกชน และประชาชน

วิธีที่ภาครัฐสามารถทำได้

  • ออก กฎหมายควบคุมและเก็บภาษีขยะโฟม
  • สนับสนุนการพัฒนา วัสดุทดแทนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ทางเลือกสำหรับภาคธุรกิจ

  • ใช้บรรจุภัณฑ์จากกระดาษ หรือพลาสติกชีวภาพ (Bioplastic)
  • ส่งเสริมการใช้ บรรจุภัณฑ์รีไซเคิลและใช้ซ้ำได้

สิ่งที่ประชาชนสามารถทำได้

  • หลีกเลี่ยงการใช้กล่องโฟม โดยนำภาชนะของตัวเองไปใส่อาหาร
  • สนับสนุนร้านค้าที่ ใช้บรรจุภัณฑ์ที่ปลอดภัยแทนโฟม
กล่องโฟมบรรจุผลไม้ที่มีน้ำสีแดงคล้ายเลือดไหลซึม สื่อถึงความเสี่ยงต่อสุขภาพจากการใช้กล่องโฟมในการบรรจุอาหาร

ทางเลือกที่ปลอดภัยแทนการใช้กล่องโฟม

บรรจุภัณฑ์ที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ประเภทคุณสมบัติจุดเด่น
บรรจุภัณฑ์กระดาษย่อยสลายง่าย แต่ต้องเคลือบกันน้ำเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
พลาสติกชีวภาพ (Bioplastic)ทำจากพืช เช่น ข้าวโพดย่อยสลายได้ในธรรมชาติ
กล่องแก้ว / สแตนเลสใช้ซ้ำได้ ทนความร้อนสูงปลอดภัยต่อสุขภาพ

วิธีเลือกบรรจุภัณฑ์ที่ปลอดภัยสำหรับร้านอาหาร

  • หลีกเลี่ยง โฟม และพลาสติกที่ไม่มีมาตรฐาน
  • ใช้ บรรจุภัณฑ์ที่ผ่านมาตรฐาน อย.
  • สนับสนุนผลิตภัณฑ์ ที่ย่อยสลายได้ในธรรมชาติ

อ่านเพิ่มเติม : 5 บรรจุภัณฑ์อาหารปลอดภัยที่ร้านอาหารควรใช้แทนกล่องโฟม (แนะนำตัวเลือกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและผ่านมาตรฐานความปลอดภัย)

สรุป

กล่องโฟมเป็นภัยต่อทั้งสุขภาพและสิ่งแวดล้อม เนื่องจากมีสารสไตรีนที่อาจเป็นสารก่อมะเร็งและใช้เวลาย่อยสลายยาวนานกว่าหลายร้อยปี ทำให้เกิดมลพิษทางดิน แหล่งน้ำ และส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อาหารของมนุษย์ การลดใช้โฟมและเลือกบรรจุภัณฑ์ที่ปลอดภัย เช่น บรรจุภัณฑ์กระดาษ ไบโอพลาสติก หรือภาชนะที่ใช้ซ้ำได้ เป็นทางเลือกที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว ถึงเวลาที่เราต้องเปลี่ยนพฤติกรรมในการเลือกบรรจุภัณฑ์ เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเองและโลกของเรา