อันตรายแฝงในบรรจุภัณฑ์อาหาร! สารเคมีที่อาจเสี่ยงทำลายสุขภาพของคุณ

สารเคมีในบรรจุภัณฑ์อาหารอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ เรียนรู้สารเคมีที่ควรหลีกเลี่ยง และวิธีเลือกบรรจุภัณฑ์อาหารที่ปลอดภัย

บรรจุภัณฑ์อาหารมีบทบาทสำคัญในการรักษาคุณภาพของอาหาร แต่คุณรู้หรือไม่ว่า สารเคมีบางชนิดในบรรจุภัณฑ์อาจปนเปื้อนสู่อาหารและส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเรา ไม่ว่าจะเป็น BPA , Phthalates หรือสารเคมีกลุ่ม PFAS ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง และรบกวนระบบฮอร์โมนของร่างกาย

ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับ สารเคมีในบรรจุภัณฑ์อาหารที่ควรระวัง พร้อมแนะนำแนวทางการเลือกบรรจุภัณฑ์ที่ปลอดภัยเพื่อปกป้องสุขภาพของคุณและครอบครัว

บรรจุภัณฑ์อาหารและขวดพลาสติกที่ล้อมรอบด้วยสัญลักษณ์ BPA และสารพิษอื่นๆ แสดงถึงความเสี่ยงจากสารเคมีอันตรายในบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่อาจส่งผลต่อสุขภาพ

สารเคมีในบรรจุภัณฑ์อาหารคืออะไร?

1. ความสำคัญของบรรจุภัณฑ์อาหาร และความเกี่ยวข้องกับสารเคมี

บรรจุภัณฑ์อาหารไม่ได้เป็นเพียงแค่ภาชนะที่ใช้เก็บและขนส่งอาหาร แต่ยังมีบทบาทสำคัญใน การรักษาคุณภาพอาหาร การยืดอายุการเก็บรักษา และการป้องกันการปนเปื้อน อย่างไรก็ตาม วัสดุที่ใช้ผลิตบรรจุภัณฑ์เหล่านี้มักประกอบไปด้วยสารเคมีหลายชนิด ซึ่งบางชนิดอาจหลุดรอดเข้าสู่อาหารและส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้บริโภค

2. สารเคมีในบรรจุภัณฑ์อาหารมาจากไหน?

สารเคมีที่พบในบรรจุภัณฑ์อาหารสามารถมาจากหลายแหล่ง ได้แก่

  • วัตถุดิบที่ใช้ผลิตบรรจุภัณฑ์ – เช่น พลาสติก กระดาษเคลือบสารกันซึม โลหะที่เคลือบสารกันสนิม ซึ่งอาจมีสาร BPA , Phthalates หรือสารเคลือบ PFAS
  • กระบวนการผลิต – สารเคมีบางชนิดถูกเติมเข้าไปเพื่อเพิ่มคุณสมบัติของวัสดุ เช่น ทำให้พลาสติกมีความยืดหยุ่นมากขึ้น หรือ ช่วยให้กระดาษกันน้ำมันได้ดีขึ้น
  • การสัมผัสระหว่างบรรจุภัณฑ์และอาหาร – เมื่ออาหารสัมผัสกับบรรจุภัณฑ์เป็นเวลานาน หรืออยู่ภายใต้อุณหภูมิสูง สารเคมีบางชนิดอาจซึมเข้าสู่อาหาร
  • สารปนเปื้อนจากสิ่งแวดล้อม – บรรจุภัณฑ์อาจปนเปื้อนสารอันตรายจากสภาพแวดล้อมหรือระหว่างการขนส่ง

3. กลไกการปนเปื้อนของสารเคมีในบรรจุภัณฑ์เข้าสู่อาหาร

มีหลายปัจจัยที่ทำให้สารเคมีจากบรรจุภัณฑ์ปนเปื้อนสู่อาหาร ซึ่งอาจอธิบายได้ผ่านหลัก ฟิสิกส์และเคมีของวัสดุ

  • กระบวนการ “Migration” (การแพร่กระจายของสารเคมีจากบรรจุภัณฑ์สู่อาหาร)
    การแพร่กระจายของสารเคมีจากวัสดุไปสู่อาหารสามารถเกิดขึ้นได้จากปัจจัยหลายประการ ได้แก่
    • อุณหภูมิสูง – การอุ่นอาหารในบรรจุภัณฑ์พลาสติกอาจเร่งการปลดปล่อยของ BPA หรือ Phthalates
    • ลักษณะของอาหาร – อาหารที่มีไขมันสูง เช่น เนื้อสัตว์ ชีส หรืออาหารทอด มีแนวโน้มที่จะดูดซับสารเคมีจากบรรจุภัณฑ์ได้มากกว่าของเหลวหรือน้ำ
    • ระยะเวลาการสัมผัส – การเก็บอาหารในบรรจุภัณฑ์พลาสติกเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดการปนเปื้อนของสารเคมีมากขึ้น
  • กระบวนการ “Leaching” (การละลายของสารเคมีเข้าสู่อาหาร)
    สารเคมีบางชนิดสามารถละลายเข้าสู่อาหารโดยตรงหากมีการสัมผัสกับของเหลวหรืออาหารที่มีค่าความเป็นกรด-ด่างสูง เช่น
    • อาหารเปรี้ยว เช่น น้ำมะนาว ซอสต่างๆ อาจทำให้พลาสติกเสื่อมสภาพและปล่อยสารเคมี
    • อาหารร้อน เช่น ซุปหรือกาแฟร้อน อาจเพิ่มอัตราการปลดปล่อยสารเคมีจากบรรจุภัณฑ์ได้มากขึ้น

4. ตัวอย่างเหตุการณ์ที่พบการปนเปื้อนของสารเคมีในบรรจุภัณฑ์อาหาร

ปัญหาการปนเปื้อนของสารเคมีในบรรจุภัณฑ์อาหารไม่ใช่เรื่องใหม่ และมีกรณีศึกษาที่เกิดขึ้นจริงซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ถึงความเสี่ยงต่อสุขภาพ

กรณี BPA ในกระป๋องอาหาร (สหรัฐอเมริกา)

  • งานวิจัยหลายชิ้นพบว่า Bisphenol A (BPA) ซึ่งใช้เป็นสารเคลือบภายในกระป๋องอาหาร สามารถเข้าสู่อาหารได้ โดยเฉพาะในอาหารกระป๋องที่มีกรดสูง เช่น มะเขือเทศ ซุป หรือเครื่องดื่มอัดลม

กรณี PFAS ในบรรจุภัณฑ์ฟาสต์ฟู้ด (ยุโรปและอเมริกา)

  • งานวิจัยในปี 2021 พบว่า บรรจุภัณฑ์กระดาษกันน้ำมันของฟาสต์ฟู้ดมีสาร PFAS สูง ซึ่งอาจสะสมในร่างกายและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งและปัญหาสุขภาพอื่นๆ

กรณี Phthalates ในบรรจุภัณฑ์พลาสติก (เอเชีย)

  • รายงานจากองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมในจีนพบว่า อาหารที่บรรจุในพลาสติกคุณภาพต่ำมีระดับ Phthalates สูง โดยเฉพาะในผลิตภัณฑ์ที่ถูกนำไปอุ่นร้อนในไมโครเวฟ

5. ทำไมเราควรให้ความสำคัญกับปัญหานี้?

  • สุขภาพระยะยาว – สารเคมีเหล่านี้มีความเชื่อมโยงกับปัญหาสุขภาพ เช่น โรคมะเร็ง โรคฮอร์โมนแปรปรวน ภาวะมีบุตรยาก และโรคเกี่ยวกับระบบประสาท
  • กฎหมายและมาตรฐานความปลอดภัยยังคงมีข้อจำกัด – แม้ว่าหลายประเทศจะมีกฎหมายควบคุมการใช้สารเคมีในบรรจุภัณฑ์อาหาร แต่ยังคงมีกรณีการปนเปื้อนที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
  • พฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไป – การใช้บรรจุภัณฑ์อาหารแบบใช้แล้วทิ้งเพิ่มขึ้น ทำให้โอกาสในการได้รับสารเคมีจากบรรจุภัณฑ์มีมากขึ้น

6. คำถามสำคัญที่ผู้บริโภคควรตั้งคำถาม

  • บรรจุภัณฑ์อาหารที่ใช้อยู่ทุกวันมีสารเคมีอันตรายหรือไม่?
  • มีทางเลือกอื่นที่ปลอดภัยกว่า เช่น บรรจุภัณฑ์จากวัสดุธรรมชาติหรือไม่?
  • ฉลากผลิตภัณฑ์มีการระบุข้อมูลเกี่ยวกับสารเคมีเหล่านี้หรือไม่?

การทำความเข้าใจสารเคมีในบรรจุภัณฑ์อาหารจะช่วยให้เราสามารถ เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยกว่า ลดความเสี่ยงต่อสุขภาพ และส่งเสริมแนวทางการบริโภคที่ยั่งยืน [อ่านเพิ่มเติม] : “คุณยังใช้กล่องโฟมอยู่หรือเปล่า? ถ้ารู้สิ่งนี้ คุณอาจจะไม่กล้าใช้อีกต่อไป!

กล่องบรรจุภัณฑ์อาหารหลากหลายประเภทปล่อยควันดำพร้อมสัญลักษณ์อันตราย แสดงถึงสารเคมีตกค้างและผลกระทบต่อสุขภาพจากบรรจุภัณฑ์อาหาร

สารเคมีอันตรายที่พบในบรรจุภัณฑ์อาหาร

สารเคมีที่ปนเปื้อนในบรรจุภัณฑ์อาหารเป็นประเด็นที่ได้รับการศึกษากันอย่างกว้างขวางในหลายสาขาวิชา ทั้งด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ เคมีสิ่งแวดล้อม และกฎหมายอาหาร ซึ่งข้อมูลจากแหล่งวิจัยและหน่วยงานกำกับดูแลชี้ให้เห็นว่าสารเคมีบางชนิดสามารถสะสมในร่างกาย และก่อให้เกิดผลกระทบระยะยาวได้

1. Bisphenol A (BPA)

BPA เป็นสารเคมีที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการผลิตพลาสติกโพลีคาร์บอเนต (Polycarbonate) และเรซินอีพ็อกซี (Epoxy Resin) ซึ่งมักพบในขวดพลาสติก กระป๋องอาหาร และฝาปิดโลหะของบรรจุภัณฑ์

การปนเปื้อน : BPA สามารถหลุดออกจากบรรจุภัณฑ์เข้าสู่อาหารและเครื่องดื่ม โดยเฉพาะเมื่อสัมผัสกับอุณหภูมิสูง หรือในสภาวะที่เป็นกรด

ผลกระทบต่อสุขภาพ

  • รบกวนระบบต่อมไร้ท่อ โดยเลียนแบบฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย
  • เพิ่มความเสี่ยงของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคหัวใจ
  • เชื่อมโยงกับภาวะเจริญพันธุ์ที่ลดลงและความผิดปกติของพัฒนาการในเด็ก

แนวทางควบคุม

  • สหภาพยุโรป (EU) และสหรัฐอเมริกา (FDA) ได้จำกัดการใช้ BPA ในขวดนมเด็กและบรรจุภัณฑ์อาหารบางประเภท
  • มีการพัฒนา “BPA-Free” พลาสติก แต่ควรระวังสารทดแทน เช่น BPS และ BPF ซึ่งอาจมีความเสี่ยงเช่นเดียวกัน

2. Phthalates (สารพาทาเลต)

เป็นกลุ่มสารเคมีที่ใช้เพิ่มความอ่อนตัวให้กับพลาสติก เช่น พีวีซี (PVC) พบในฟิล์มห่ออาหาร ขวดพลาสติก และฝากระป๋องเครื่องดื่ม

การปนเปื้อน : สามารถหลุดเข้าสู่อาหารเมื่อสัมผัสกับไขมันสูง เช่น ผลิตภัณฑ์นม และอาหารแปรรูป

ผลกระทบต่อสุขภาพ

  • รบกวนการทำงานของฮอร์โมนเพศชาย (Androgen) ส่งผลต่อภาวะเจริญพันธุ์
  • เพิ่มความเสี่ยงของโรคเบาหวานและโรคอ้วน
  • อาจมีผลกระทบต่อพัฒนาการของสมองเด็กในระยะยาว

แนวทางควบคุม

  • สหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกาได้กำหนดข้อจำกัดในการใช้สารพาทาเลตในผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก
  • ทางเลือกที่ปลอดภัยขึ้น ได้แก่ พลาสติกชีวภาพ หรือการใช้ภาชนะที่ไม่ใช่พลาสติก เช่น แก้วหรือเซรามิก

3. Styrene (สไตรีน)

เป็นสารเคมีที่ใช้ในการผลิตโพลีสไตรีน (Polystyrene) หรือโฟม ซึ่งมักพบในกล่องใส่อาหารและแก้วพลาสติก

การปนเปื้อน : สามารถหลุดออกมาจากบรรจุภัณฑ์เข้าสู่อาหาร โดยเฉพาะอาหารร้อนหรือมีไขมันสูง

ผลกระทบต่อสุขภาพ

  • องค์การอนามัยโลก (WHO) จัดให้ Styrene เป็น “สารก่อมะเร็งในมนุษย์”
  • อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อระบบประสาท เช่น ปวดศีรษะ วิงเวียน และอ่อนเพลีย
  • เชื่อมโยงกับความเสี่ยงของมะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

แนวทางควบคุม

  • หลายประเทศเริ่มห้ามใช้กล่องโฟมใส่อาหาร เช่น ฝรั่งเศสและบางรัฐในสหรัฐฯ
  • แนะนำให้ใช้บรรจุภัณฑ์ที่ทำจากกระดาษ หรือพลาสติกที่ได้รับมาตรฐาน Food Grade

4. PFAS (Per- and Polyfluoroalkyl Substances)

เป็นกลุ่มสารเคมีสังเคราะห์ที่ใช้ในบรรจุภัณฑ์กระดาษเคลือบกันน้ำมัน เช่น กล่องฟาสต์ฟู้ด ถุงกระดาษห่อเบอร์เกอร์ และกล่องใส่ป๊อปคอร์นไมโครเวฟ

การปนเปื้อน : PFAS ไม่สลายตัวง่ายและสามารถสะสมในร่างกายได้ ทำให้เกิดการปนเปื้อนในแหล่งน้ำและสิ่งแวดล้อม

ผลกระทบต่อสุขภาพ

  • สัมพันธ์กับปัญหาสุขภาพ เช่น คอเลสเตอรอลสูง ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และโรคไต
  • เชื่อมโยงกับความเสี่ยงของโรคมะเร็ง
  • มีผลกระทบต่อระบบฮอร์โมนและการพัฒนาของทารกในครรภ์

แนวทางควบคุม

  • สหภาพยุโรปและบางรัฐในสหรัฐฯ กำลังออกกฎหมายห้ามใช้ PFAS ในบรรจุภัณฑ์อาหาร
  • แนะนำให้ใช้บรรจุภัณฑ์จากธรรมชาติ เช่น ใบไม้หรือเยื่อไผ่

5. Formaldehyde (ฟอร์มัลดีไฮด์)

ใช้เป็นสารกันเสียและพบในพลาสติกเมลามีนบางชนิด รวมถึงกาวที่ใช้ในบรรจุภัณฑ์

การปนเปื้อน : อาจถูกปล่อยออกมาเมื่อพลาสติกเมลามีนสัมผัสกับความร้อนสูง เช่น การใช้ภาชนะพลาสติกใส่อาหารร้อน

ผลกระทบต่อสุขภาพ

  • เป็นสารก่อมะเร็งที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งโพรงจมูกและมะเร็งเม็ดเลือดขาว
  • อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองทางเดินหายใจ

แนวทางควบคุม

  • หลีกเลี่ยงการใช้ภาชนะเมลามีนกับอาหารร้อน
  • เลือกใช้ภาชนะที่ปลอดภัย เช่น แก้ว หรือเซรามิก

เด็กและสตรีมีครรภ์มีความไวต่อสารเคมีอันตรายในบรรจุภัณฑ์อาหารมากกว่ากลุ่มประชากรทั่วไป โดยเฉพาะ BPA และ Phthalates ที่อาจส่งผลต่อพัฒนาการของเด็กในครรภ์ การเลือกใช้ภาชนะที่ปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญ อ่าน แนวทางเลือกภาชนะบรรจุอาหารที่ปลอดภัยสำหรับเด็กและสตรีมีครรภ์ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงจากสารเคมีอันตราย

ภาชนะพลาสติกบรรจุอาหารร้อน มีควันพิษลอยออกมาเมื่อสัมผัสกับช้อน สื่อถึงอันตรายจากสารเคมีปนเปื้อนในภาชนะพลาสติกที่อาจเข้าสู่ร่างกาย

วิธีหลีกเลี่ยงสารเคมีอันตรายในบรรจุภัณฑ์อาหาร

การหลีกเลี่ยงสารเคมีอันตรายในบรรจุภัณฑ์อาหารไม่ใช่เรื่องยากหากเรารู้จักหลักการคัดเลือกบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสม และเข้าใจว่าปัจจัยใดที่ทำให้สารเคมีปนเปื้อนสู่อาหารได้ วิธีต่อไปนี้จะช่วยลดความเสี่ยงและทำให้คุณเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น

1. หลีกเลี่ยงบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่มีเลขรีไซเคิล 3 , 6 และ 7

พลาสติกที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารมักมีสัญลักษณ์รีไซเคิลพร้อมตัวเลขกำกับ ซึ่งบางประเภทอาจปล่อยสารเคมีอันตรายออกมาได้

  • เลข 3 (PVC – Polyvinyl Chloride) : มีสารพาทาเลต (Phthalates) ซึ่งเป็นตัวทำให้พลาสติกอ่อนตัว อาจรบกวนฮอร์โมน
  • เลข 6 (PS – Polystyrene) : ใช้ผลิตกล่องโฟมและบรรจุภัณฑ์พลาสติกบางชนิด มีความเสี่ยงปล่อยสารสไตรีน (Styrene) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง
  • เลข 7 (Other – พลาสติกประเภทอื่นๆ เช่น PC – Polycarbonate) : มักมีสาร Bisphenol A (BPA) ซึ่งเกี่ยวข้องกับปัญหาด้านฮอร์โมนและโรคมะเร็ง

ควรเลือกใช้พลาสติกที่มีหมายเลข 1 (PET) , 2 (HDPE) , 4 (LDPE) และ 5 (PP) ซึ่งปลอดภัยกว่าสำหรับอาหารและเครื่องดื่ม

2. ใช้ภาชนะที่มีมาตรฐาน Food Grade และ BPA-Free

การเลือกบรรจุภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน Food Grade หมายความว่า บรรจุภัณฑ์นั้นปลอดภัยสำหรับการสัมผัสอาหารโดยไม่มีสารเคมีอันตรายปนเปื้อน นอกจากนี้ ควรมองหาฉลาก BPA-Free เพื่อหลีกเลี่ยงสาร Bisphenol A ซึ่งมีผลกระทบต่อระบบฮอร์โมน

3. หลีกเลี่ยงการใช้กล่องโฟมและพลาสติกอ่อนกับอาหารร้อน

อุณหภูมิที่สูงสามารถเร่งการปล่อยสารเคมีอันตรายออกมาจากบรรจุภัณฑ์

  • อย่าใช้กล่องโฟมบรรจุอาหารร้อน : โฟมสามารถละลายและปล่อยสารสไตรีนออกมาได้
  • อย่าใช้พลาสติกอ่อนในไมโครเวฟ : พลาสติกบางชนิดไม่ได้ออกแบบมาให้ทนความร้อน และอาจละลายสารเคมีสู่อาหาร

ทางเลือกที่ปลอดภัยคือ ใช้ภาชนะที่ปลอดภัยต่อความร้อน เช่น แก้ว เซรามิก หรือพลาสติกที่ได้รับมาตรฐานสำหรับไมโครเวฟ

4. เลือกใช้บรรจุภัณฑ์จากวัสดุธรรมชาติ

การเปลี่ยนมาใช้วัสดุธรรมชาติ เช่น บรรจุภัณฑ์จากเยื่อพืช กระดาษเคลือบ PLA หรือแก้ว เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

5. อ่านฉลากและมาตรฐานความปลอดภัยก่อนเลือกใช้บรรจุภัณฑ์

ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับมาตรฐานของบรรจุภัณฑ์อาหาร เช่น

  • FDA (Food and Drug Administration) : มาตรฐานความปลอดภัยของสหรัฐฯ
  • EU Food Contact Materials Regulation : กฎหมายของสหภาพยุโรปเกี่ยวกับวัสดุสัมผัสอาหาร
  • มาตรฐาน อย. ของไทย : ควบคุมบรรจุภัณฑ์อาหารเพื่อให้ปลอดภัยต่อผู้บริโภค

บรรจุภัณฑ์อาหารปลอดภัยที่แนะนำ

  • หลีกเลี่ยงการใช้ภาชนะพลาสติกที่มีรหัสรีไซเคิล 3 (PVC), 6 (Polystyrene) และ 7 (Polycarbonate)
  • ใช้บรรจุภัณฑ์ที่ได้รับมาตรฐานปลอดภัย เช่น Food Grade, BPA-Free
  • หลีกเลี่ยงกล่องโฟม และพลาสติกอ่อนสำหรับอาหารร้อน
  • เลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น กระดาษเคลือบ PLA หรือภาชนะจากเยื่อพืช

[อ่านเพิ่มเติม] :5 บรรจุภัณฑ์อาหารปลอดภัยที่ร้านอาหารควรใช้แทนกล่องโฟม

สรุป

สารเคมีในบรรจุภัณฑ์อาหารเป็นปัญหาที่ไม่ควรมองข้าม เพราะสามารถปนเปื้อนลงสู่อาหารและส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว ตั้งแต่การรบกวนระบบฮอร์โมน ไปจนถึงความเสี่ยงโรคมะเร็ง การหลีกเลี่ยงบรรจุภัณฑ์ที่มีสารเคมีอันตราย เช่น BPA , Phthalates และ Styrene รวมถึงการเลือกใช้ภาชนะที่ปลอดภัย เช่น แก้ว สแตนเลส และบรรจุภัณฑ์จากวัสดุธรรมชาติ เป็นวิธีที่ช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อปกป้องสุขภาพของคุณและครอบครัว ควรให้ความสำคัญกับการอ่านฉลากมาตรฐานบรรจุภัณฑ์ก่อนใช้งาน และเลือกผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองความปลอดภัย